บี.กริม เพาเวอร์ ผนึก reNIKOLA คว้าโครงการโซลาร์ขนาดใหญ่ของภาครัฐ “Large Scale Solar 5+”
“บี.กริม เพาเวอร์” ผนึก “reNIKOLA” คว้าโครงการโซลาร์ขนาดใหญ่ของภาครัฐ “Large Scale Solar 5+” กำลังผลิตรวม 618 MWp ก้าวขึ้นเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่านพลังงานหมุนเวียนของมาเลเซีย
หลังเดินหน้ารุกตลาดพลังงานประเทศมาเลเซียด้วยการเข้าลงทุนใน reNIKOLA Holdings Sdn Bhd บริษัทผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนเต็มรูปแบบ โดยเป็นผู้ถือหุ้นเชิงกลยุทธ์รายใหญ่ที่มีสัดส่วนการถือหุ้น 45% ล่าสุด บี.กริม เพาเวอร์ ประกาศความสำเร็จอีกขั้น ด้วยการพา reNIKOLA คว้าสิทธิ์ในการดำเนินโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 618 MWp ภายใต้โครงการ Large Scale Solar 5+ (LSS 5+) หนึ่งในโครงการสำคัญตามแผนปฏิบัติการเปลี่ยนผ่านพลังงานแห่งชาติ (National Energy Transition Roadmap: NETR) ของรัฐบาล ส่งให้ reNIKOLA ก้าวสู่การเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่านพลังงานหมุนเวียนของมาเลเซีย
ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ผู้ถือหุ้นเชิงกลยุทธ์รายใหญ่ของ reNIKOLA กล่าวว่า “การได้รับสิทธิ์ดำเนินโครงการใหญ่ของรัฐบาลมาเลเซียในครั้งนี้ คือความสำเร็จอันน่าภาคภูมิใจของ reNIKOLA และยังเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การเติบโตของ บี.กริม เพาเวอร์ ซึ่งมุ่งมั่นสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีศักยภาพ เพื่อพัฒนาพลังงานสะอาดในระดับภูมิภาคอย่างยั่งยืนมาตลอด เราภูมิใจที่ได้สนับสนุนมาเลเซียบนเส้นทางสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ และที่สำคัญคือโครงการ นี้ไม่เพียงช่วยเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศมาเลเซีย ยังตอกย้ำวิสัยทัศน์ของ บี.กริม เพาเวอร์ ที่มุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านพลังงานหมุนเวียนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย”
โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 618 MWp (400 MW PPA) ประกอบด้วย 2 โครงการในเขตเคมามัน (Kemaman) รัฐตรังกานู (Terengganu) ได้แก่
1. โครงการ 386MWp หรือ 250MW PPA (Exported Capacity) ซึ่งดำเนินการโดยกลุ่มบริษัท reNIKOLAบริษัท RE Chenderong Sdn Bhd (เดิมชื่อ RE Gebeng BKH Sdn Bhd) และบริษัท Anglo-Eastern Plantations Management Sdn Bhd
2. โครงการ 232MWp หรือ 150MW PPA (Exported Capacity) ดำเนินการโดย บริษัท Antara Hijauan Sdn Bhd บริษัทย่อยที่ reNIKOLA ถือหุ้นทั้งหมด ร่วมกับ Anglo-Eastern
ทั้งสองโครงการมีกำหนดแล้วเสร็จและเริ่มเดินระบบในเดือนพฤศจิกายน 2570 โดยพลังงานสะอาดที่ผลิตได้จะถูกจ่ายเข้าสู่ระบบไฟฟ้าของประเทศมาเลเซียต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 21 ปี ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าการลงทุนโดยตรงกว่า 1.3 พันล้านริงกิตมาเลเซีย และจะทำให้เกิดการจ้างงานใหม่หลายร้อยตำแหน่ง อีกทั้งยังส่งผลให้รัฐตรังกานูก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy Hub) แห่งใหม่ที่น่าจับตาของประเทศมาเลเซีย
โดย นาย Boumhidi Adel กรรมการผู้จัดการ reNIKOLA Holdings Sdn Bhd กล่าวว่า “การได้รับสิทธิ์พัฒนาโครงการนี้ ไม่เพียงเป็นบทพิสูจน์ความสำเร็จของ reNIKOLA ยังเป็นแรงขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจสีเขียวของรัฐตรังกานูที่ชี้ให้เห็นว่า พลังงานสะอาด เศรษฐกิจ การดูแลสิ่งแวดล้อม สามารถเติบโตไปด้วยกันและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนอย่างแท้จริงได้”
และเพื่อสร้างแนวทางใหม่ให้พลังงานหมุนเวียนและความหลากหลายทางชีวภาพเติบโตไปด้วยกันได้ reNIKOLA และ บี.กริม เพาเวอร์ ได้จัดตั้ง มูลนิธิอนุรักษ์ช้าง (Elephant Sanctuary Foundation) เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 618 MWp ด้วย เพื่อปกป้องสัตว์ป่าหายากและส่งเสริมสมดุลทางนิเวศ โดยมีการสร้าง “เส้นทางอาหารช้าง” (Elephant Food Corridor) ด้วยการปลูกหญ้าเนเปียร์ ไผ่ และกล้วย เพื่อเป็นแหล่งอาหารที่ยั่งยืนและช่วยกำหนดเส้นทางการเคลื่อนที่ของช้างป่าอย่างปลอดภัย ซึ่งจะช่วยลดความขัดแย้งระหว่างคนกับช้าง เพิ่มการตระหนักรู้ด้านการอนุรักษ์ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยหวังให้โครงการนี้เป็นต้นแบบใหม่ของการพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนที่อยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างสมดุล
“การจัดตั้งมูลนิธิอนุรักษ์ช้าง ร่วมกับการพัฒนาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 618 MWp เป็นการตอกย้ำถึงพันธกิจของเราที่จะสร้างสรรค์ ‘พลังงานเพื่อโลกด้วยความโอบอ้อมอารี’ ซึ่งเราเชื่อว่าจะเป็นการสร้างอนาคตที่ดี ที่การเปลี่ยนผ่านพลังงานและความยั่งยืนเดินหน้าไปพร้อมกัน” ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าว
ทั้งนี้ ณ ปัจจุบัน บี.กริม เพาเวอร์ มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 4,155 เมกะวัตต์ จากโครงการที่เปิดดำเนินการแล้ว โดยมีเป้าหมายที่จะขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าให้ได้ 10,000 เมกะวัตต์ภายในปี 2573 สำหรับโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ขนาด 618 MWp ภายใต้โครงการ Large Scale Solar 5+ (LSS 5+) เป็นการพัฒนาพัฒนาร่วมกันระหว่าง reNIKOLA ภายใต้การถือหุ้นใหญ่ของ บี.กริม เพาเวอร์ และ Anglo-Eastern ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ Anglo-Eastern Plantations Plc ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน การร่วมมือครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่เพิ่มขึ้นของภาคธุรกิจการเกษตรในการขับเคลื่อนพลังงานหมุนเวียน การใช้ที่ดินอย่างรับผิดชอบและการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนแสดงให้เห็นว่าธุรกิจดั้งเดิมกับผู้พัฒนาพลังงานหมุนเวียนสามารถทำงานร่วมกันเพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของมาเลเซียได้