กนง.ลดดอกเบี้ยตามคาด SCB EIC ประเมิน กนง. จะลดดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในไตรมาส 4 สู่ระดับ 1.25%
กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดอั
กนง. มองว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่
- กนง. มองว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยไม่ได้
แตกต่างจากการประเมินในการประชุ โดยในการประชุมรอบเดือนมิถุนายน 2025 ซึ่ง กนง. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัมครั้งก่อนมากนัก วที่ 2.3%YOY และ 1.7%YOY ในปี 2025 และ 2026 ตามลำดับ โดยประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 จะขยายตัวได้ดีกว่าที่ประเมินไว้จากภาคการส่งออกสินค้ าและภาคการผลิตเป็นหลัก ตามการเร่งส่งออกสินค้าไปยั งสหรัฐฯ - กนง. มองว่าเศรษฐกิจในครึ่งหลังของปี 2025 มีแนวโน้มชะลอลงจากช่วงครึ่
งแรกของปี ส่วนหนึ่งจากการเร่งผลิตและส่งออกสินค้าไปตลาดสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งปีแรก นอกจากนี้ กนง. ยังประเมินว่าเครื่องยนต์ 2025 (ประมาณการ ณ รอบการประชุมเดือน มิ.ย. 2025 ประเมินไว้ที่ 35 และ 38 ล้านคนในปี 2025 และ 2026 ตามลำดับ)เศรษฐกิจอื่น ๆ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวมี แนวโน้มแผ่วลง และอาจปรับประมาณการจำนวนนักท่ องเที่ยวต่างชาติลงในการเผยแพร่ ประมาณการในรอบการประชุมเดือนตุ ลาคม - กนง. เห็นว่าต้องติ
ดตามผลกระทบจากภาษี Transshipment และการแข่งขันของสินค้านำเข้าที่จะรุนแรงขึ้น โดยประเมินว่าแม้อัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ เรียกเก็บสินค้าไทยไม่ได้เสี Transshipment และภาษีนำเข้าเฉพาะกลุ่มสินค้า เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ที่จะทยอยออกมาในระยะข้างหน้า อาจลดทอนอุปสงค์สินค้าส่ยเปรียบคู่แข่ง แต่อัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ในระดับที่สูงขึ้นมากเช่นนี้ รวมทั้งมาตรการกำแพงภาษีสินค้า งออกโลกโดยรวม นำไปสู่การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น และจะส่งผลต่อไปในระยะปานกลาง การปรับตัวของภาคธุรกิจจึงเป็ นปัจจัยสำคัญสำหรับการฟื้นตั วของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า - อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ระดับต่ำ
จากปัจจัยด้านอุปทาน โดยราคาอาหารสดลดลงจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้น และราคาพลังงานลดลงตามราคาน้ำมั 1%นดิบโลกเป็นหลัก แต่ยังไม่เห็นราคาสินค้าและบริ การอื่นลดลงตามเป็นวงกว้าง สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อพื้ นฐานที่ยังทรงตัวใกล้เคียง
กนง. จะติดตามสถานการณ์สินเชื่อหดตั
- สถานการณ์สินเชื่อหดตัวอาจซ้ำ
เติมภาคส่วนเศรษฐกิจที่ยั โดยการหดตัวของสินเชื่อมีที่งเปราะบาง มาจาก สินเชื่อกลุ่มธุรกิจ SMEs และสินเชื่อภาคครัวเรือนที่หดตัวลง ส่วนหนึ่งจากความระมัดระวั งของสถาบันการเงินในการปล่อยสิ นเชื่อใหม่ให้ลูกหนี้ที่มี ความเสี่ยงสูง ขณะที่สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ ชะลอลงตามความต้องการสินเชื่อที่ ปรับลดลงจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ มีความไม่แน่นอนสูง - เงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐแข็งค่
าเทียบกับค่าเงินภูมิภาค ตามดัชนีดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่า รวมถึงการเคลื่อนไหวของเงินบาทตามราคาทองคำที่ปรับสูงขึ้น - กนง. ยังมองว่านโยบายการเงินจำเป็นต้
อง “ผ่อนคลาย” แต่ยังต้องคำนึงถึง Policy space และประสิทธิผลของการส่งผ่านนโยบายการเงิน ในปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลงมาแล้วรวม 1 .0% จาก 2.50% ในช่วงต้นปี 2024 อยู่ที่ระดับ 1.50% ในระยะข้างหน้า กนง. จำเป็นต้องพิจารณาถึงข้อจำกัดของ Policy space ที่เหลือน้อยลง และประสิทธิผลของการส่งผ่านนโยบายการเงินที่จะน้ อยลงในภาวะดอกเบี้ยต่ำ
IMPLICATIONS
SCB EIC ประเมินว่า กนง. จะยังลดดอกเบี้ยต่ออีกครั้งในปี
- ภาวะการเงินตึงตัว รวมทั้งเงินบาทที่แข็งค่าขึ้
นเร็วอาจเป็นอุปสรรคต่อเศรษฐกิ จในระยะข้างหน้า - สถานการณ์สินเชื่อหดตัว โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจ SMEs และสินเชื่อครัวเรือนจะยังดำเนิ
นต่อไป จากความเสี่ยงด้านเครดิตที่ยังอยู่ในระดับสูง ส่วนหนึ่งจากปัญหาเชิงโครงสร้ SMEs บางส่วนประสบปัางที่ธุรกิจ ญหาความสามารถในการแข่งขัน ขณะที่ภาคครัวเรือนยังประสบปั ญหาภาระหนี้ที่มีอยู่เดิม - เงินบาทแข็งค่าขึ้นเร็วในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา หากเปรียบเทียบกับหลายประเทศคู่
แข่งสำคัญในตลาดสหรัฐฯ อาจเป็นอีกปัจจัยกดดั 2025 ที่ผ่านมา ที่ดัชนีอยู่ระดับสูงสุดนับตั้นความสามารถในการแข่งขั นของการส่งออกไทย การแข็งค่านี้สะท้อนจากดัชนีค่ าเงินบาทในช่วงตั้งแต่ต้นปี งแต่วิกฤติการเงินเอเชียปี 1997 (รูปที่ 1) - อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริง (Real rate) ในปัจจุบันยังอยู่ในระดับสูงเมื่
อเทียบกับในอดีต โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงของไทย[1] อยู่ที่ประมาณ 0.75% ขณะที่ค่าเฉลี่ยของอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอยู่ใกล้เคียง 0% เท่านั้น (รูปที่ 2) สะท้อนว่าระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันอาจยังไม่ผ่ อนคลายเพียงพอ เมื่อเทียบกับสถานการณ์ในปัจจุ บันที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ต่ำ กว่าในอดีตอย่างมีนัย - อัตราเงินเฟ้อไทยที่อยู่ในระดั
บต่ำต่อเนื่องเป็นเวลานาน แม้จะมีที่มาจากปัจจัยด้านอุ Debt deflation” และนำไปสู่ความเสี่ยงภาวะเงินฝืปทานและมาตรการช่วยเหลือค่ าครองชีพจากภาครัฐโดยเฉพาะด้ านพลังงานเป็นหลัก อาจทำให้ครัวเรือนเผชิญกับภาวะ “ ด ( Deflation) ในที่สุด - Debt deflation คือสถานการณ์ที่มูลค่าที่แท้จริ
งของหนี้ไม่ลดลงตามราคาสินค้าที่ Debt deleveraging) มากนัก แต่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลงที่เห็นในช่วงปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เกิดจากหนี้ใหม่ที่เพิ่มขึ้น ทำให้ภาระหนี้ครัวเรือนยังคงสู งอยู่ โดยที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อต่ำไม่ได้ช่ วยในกระบวนการลดหนี้ครัวเรือน ( ชะลอตัว (รูปที่ 3) - หากสถานการณ์นี้ดำเนินต่อไป อาจทำให้ครัวเรือนเปราะบางยิ่
งขึ้น ส่งผลให้อุปสงค์ในประเทศอ่ Deflation)อนแอลง และนำไปสู่แรงกดดันเงินเฟ้อด้ านอุปสงค์ ซึ่งทำให้เศรษฐกิจไทยเสี่ยงเข้ าสู่ภาวะเงินฝืด (
สำหรับมุมมองนโยบายการเงิน SCB EIC ยังคงประเมินว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรั
บทวิเคราะห์โดย... https://www.scbeic.com/th/