สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ชี้ดัชนีค้าปลีก ธ.ค. 66 โตน้อย ชงรัฐกรุยทางสินเชื่อเอสเอ็มอี เร่งเครื่องท่องเที่ยว ปฏิรูปมาตรการป้องสินค้าข้ามแดน

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ร่วมกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย เผยผลสำรวจความเชื่อมั่น (Retail Sentiment Index) ของผู้ประกอบการค้าปลีกเดือนธันวาคม 2566 เมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2566 ปรับเพิ่มขึ้นในทุกองค์ประกอบแต่ไม่เต็มสูบ โดยเพิ่มขึ้นเพียง 9.5 จุด จากการโหมโปรโมชั่นส่งเสริมการขายของร้านค้าในช่วงเฉลิมฉลองปลายปี ซึ่งปัจจัยฉุดยังคงเป็นปัจจัยเดิมที่รอการเยียวยา อาทิ กำลังซื้อซบเซา การติดหล่มของหนี้ครัวเรือน ราคาพลังงานและสาธารณูปโภคที่อยู่ในระดับสูง ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก ระยะ 3 เดือนจากนี้ (ม.ค.-มี.ค.67) เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.3 จุด ซึ่งเป็นผลจากมาตรการ Easy E-Receipt และเทศกาลตรุษจีน แต่ภาพรวมยังคงโตน้อย ไม่ก้าวกระโดดเนื่องจากความไม่ชัดเจนในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐโดยเฉพาะดิจิทัลวอลเล็ต, การอนุมัติงบประมาณประจำปี 2567 ที่อาจล่าช้า ส่งผลให้หลายโครงการของภาครัฐ เช่น ภาคท่องเที่ยว อาจต้องชะลอหรือเลื่อนการดำเนินงานออกไป

นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า “ผลการสำรวจ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกทั่วประเทศ (Retail Sentiment Index – RSI) ในเดือนธันวาคม 2566 เพิ่มขึ้นทุกองค์ประกอบและทุกภูมิภาค จากการจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายของร้านค้าและบรรยากาศส่งท้ายปลายปีที่ช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคให้คึกคักในระดับหนึ่ง โดยปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่ไตรมาสแรกปี 67 ปรับเพิ่มขึ้นแต่ไม่มาก จากอานิสงส์มาตรการ Easy E-Receipt และแคมเปญการตลาดช่วงเทศกาลตรุษจีน อย่างไรก็ตามหากพิจารณา ภาพรวมตลอดปี 2566 ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกทั่วประเทศ พบว่ายังเป็นการฟื้นตัวแบบไม่สมดุลในลักษณะ K-Shaped โดยส่วนที่ฟื้นตัว ได้แก่ กลุ่มห้างสรรพสินค้า-แฟชั่นความงาม-ไลฟ์สไตล์ ร้านสะดวกซื้อ และซูเปอร์มาร์เก็ต และอีกส่วนหนึ่งยังไม่ฟื้นตัว คือ กลุ่มค้าปลีกไฮเปอร์มาร์เก็ต (Hypermarket) และกลุ่มค้าส่ง-ค้าปลีกภูธร (Local Modern Store) ด้านกลุ่มที่ทรงตัวเป็นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง-ตกแต่งและซ่อมบำรุง, สมาร์ทโฟน และไอที โดยเมื่อจำแนกตามภูมิภาค พบว่าเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และจังหวัดท่องเที่ยวจะฟื้นตัวได้ดี ส่วนภูมิภาคอื่นๆยังชะลอตัว ยกเว้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ซึมยาวสะท้อนถึงกำลังซื้อยังคงอ่อนแอ

สำหรับ ทิศทางภาพรวมธุรกิจค้าปลีกและบริการในปี 2567 สมาคมผู้ค้าปลีกไทยคาดว่าจะมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 4.4 ล้านล้านบาท เติบโตราว 3-5 %  เมื่อเทียบกับ GDP ในปี 2567  ที่คาดจะเติบโต 3.5 – 4.4 % โดยมองว่ากลุ่มธุรกิจแบบมีหน้าร้าน (Store-based retailing) จะกลับมามีมูลค่าเท่าก่อนช่วงโควิด-19 ส่วนแบบที่ไม่มีหน้าร้าน (Non-store retailing) เช่น การขายผ่านออนไลน์ (E-commerce), การขายผ่านตู้อัตโนมัติ (Vending Machine) ฯลฯ ยังคงเติบโตต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามทางสมาคมผู้ค้าปลีกไทยขอเสนอแนะ แนวทางเพื่อการกระตุ้นภาพรวมค้าปลีกและบริการ  ต่อภาครัฐ อาทิ

1. ลดความเลื่อมล้ำและสนับสนุนให้เกิดการแข่งขันในการเข้าถึงสินเชื่อเอสเอ็มอี

1.1 เปิดตลาดภาคการเงินเสรีให้มีสถาบันการเงินใหม่ๆ เข้าสู่ระบบเพื่อให้เกิดการแข่งขันด้านดอกเบี้ย

1.2 เปิดเผยเชื่อมโยงข้อมูลทางการการเงินที่โปร่งใสเพื่อให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรมระหว่างผู้บริการทาง
                การเงินและผู้ขอสินเชื่อ รวมทั้งใช้ระบบ
Risk based management ในการวัดระดับความเสี่ยงของการอนุมัติ
                การขอสินเชื่อ

1.3 เร่งจัดหากองทุน Soft loan ดอกเบี้ยต่ำ สำหรับเอสเอ็มอีในเงื่อนไขไม่ซับซ้อนเข้าถึงง่ายเพื่อลดต้นทุนและ

     เพิ่มความคล่องตัวทางการเงิน

2. อนุมัติเพิ่มการจ้างงานรูปแบบใหม่ ได้แก่ การจ้างงานอิสระ การจ้างงานประจำรายชั่วโมง โดยกำหนด
           ค่าจ้างตามระดับคุณวุฒิวิชาชีพตามมาตรฐานของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ เพิ่มเติมจากการพิจารณาค่าแรงขั้นต่ำ
           เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานภาคปลีกและบริการ อีกทั้งควรส่งเสริมการพัฒนาทักษะแรงงาน
Upskill    
          
Reskill ควบคู่ไปด้วย

3. ออกมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยมีเงื่อนไขที่ชัดเจนครอบคลุมทุกกลุ่ม ด้วยการจัดแคมเปญกระตุ้นการท่องเที่ยว ชูจุดเด่นซอฟต์พาวเวอร์ พร้อมให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเมืองรอง เพื่อให้เกิดการสร้างงานและกระจายรายได้ตามภูมิภาคต่างๆ

4. สร้างการแข่งขันที่เป็นธรรม ด้วยมาตรการป้องกันสินค้านำเข้าราคาถูกจากจีน โดยเฉพาะการจำหน่ายบนอีคอมเมิร์ซ เพื่อไม่ให้กระทบกับโครงสร้างราคาสินค้าเอสเอ็มอีของไทย  

4.1 กำหนดให้มีการจดทะเบียนบริษัทอย่างถูกต้องและมีนโยบายที่ชัดเจนด้านสินค้าและการบริการ เช่น  สินค้าปลอมหรือไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงสินค้าที่ไม่ถูกต้องตามศีลธรรม

4.2 ปรับรูปแบบการเก็บภาษีออนไลน์เป็นข้อมูลธุรกรรมที่เกิดขึ้นจริง (Transaction-based) โดยแพลตฟอร์มออนไลน์ควรต้องเป็นผู้เก็บภาษีทุกครั้งที่มีการซื้อขาย

4.3 เพิ่มมาตรการเก็บภาษีสินค้า Grey Marketซึ่งส่งผลให้ภาครัฐสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษี รวมทั้งเกิดความไม่เป็นธรรมทางการค้าของผู้ประกอบการในประเทศ

ทั้งนี้ยังมีบทสรุประเด็นเกี่ยวกับ “อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นและการขอสินเชื่อ”  ของผู้ประกอบการที่สำรวจระหว่างวันที่ 18-25 ธ.ค.66 ดังนี้

1.       ผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น

-          68% ธุรกิจได้รับผลกระทบ แบ่งเป็น 63% ภาระหนี้เพิ่มขึ้นแต่ยังสามารถชำระได้ตามปกติ แม้ว่าภาระหนี้ที่มีอยู่จะเพิ่มขึ้น และอีก 5% อาจผิดนัดชำระหนี้, ขอปรับโครงสร้างหนี้, ขอยืดเวลาชำระหนี้

-          32% ธุรกิจไม่ได้รับผลกระทบของอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น

2.       อุปสรรคในการขอสินเชื่อจากสถาบันทางการเงิน

-          45% ธุรกิจต้องเผชิญอุปสรรคในการเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันทางการเงินมากขึ้น แบ่งเป็น 36% สถาบันทางการเงินใช้เวลาพิจารณาสินเชื่อนานขึ้นและปรับ Margin อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น, 6%   ได้วงเงินสินเชื่อลดลง, 3% ปรับเงื่อนไขการกู้เข้มงวดมากขึ้น

-          55% ธุรกิจไม่ได้รับผลกระทบในการเข้าถึงสินเชื่อ

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย มองว่าภาพรวมค้าปลีกและบริการในปี 67 โดยเฉพาะครึ่งปีหลังจะเริ่มส่งสัญญาณบวกแต่ยังต้องอาศัยแรงหนุนจากภาครัฐในการผลักดันโครงการและมาตรการต่างๆในทุกมิติอย่างเป็นรูปธรรม ชัดเจน มุ่งเป้าตรงจุด เพื่อให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ในระยะยาวอย่างมีศักยภาพ โดยสมาคมฯ พร้อมให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วนและยินดีสนับสนุนภาครัฐอย่างเต็มกำลัง เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนอนาคตค้าปลีกและบริการยุคใหม่ของไทยให้กลับมาเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

Visitors: 1,143,885